นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงฐานะการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค. (รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และรัฐวิสาหกิจ) ว่าในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2559 (ตุลาคม – ธันวาคม 2558) ขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 238,535 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.7 ของ GDP โดยขาดดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.1
ทั้งนี้ ภาคสาธารณะ มีรายได้รวม 1,588,592 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 158,487 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.1 เป็นผลจากรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีรายได้ลดลง สำหรับด้านรายจ่ายภาคสาธารณะมีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 1,827,127 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 138,679 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.1 อันเนื่องมาจากรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ (บมจ. ปตท. และ บมจ. การบินไทย) มีการเบิกจ่ายลดลง ทั้งนี้ ดุลการคลังเบื้องต้นของภาคสาธารณะ (Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึง ผลการดำเนินงานและทิศทางของนโยบายการคลังอย่างแท้จริง (ไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย รวมทั้งการชำระคืนต้นเงินกู้) ขาดดุล 171,884 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP)
นายกฤษฎา สรุปว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล โดยมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของรายจ่ายรัฐบาล และรายจ่ายเงินกู้โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน โดยการเบิกจ่ายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว