วันนี้ (4 เมษายน 2559) ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการเปิดตัวโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย ภายใต้แนวคิด “ปฏิรูปภาคเกษตรไทย : 1 ตำบล 1 SME เกษตร” นายสมคิดกล่าวว่า รัฐบาลสนับสนุนให้สถาบันการเงินของรัฐดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย เน้นการผลิตทางการเกษตรรูปแบบใหม่และกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร โดยได้อนุมัติวงเงิน 72,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรไทยและทำให้ชีวิตเกษตรกรดีขึ้นอย่างยั่งยืน
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส.ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร มาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึงปัจจุบันได้ให้สินเชื่อแก่กลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ SMEs เกษตร ประกอบไปด้วย เกษตรกร บุคคล ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกองทุนหมู่บ้าน ไปแล้วทั่วประเทศ จำนวน 4,814 ราย วงเงินสินเชื่อ 5,156 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส.มีเป้าหมายในการดำเนินโครงการนี้คือการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs เกษตร จำนวน 7,305 ราย วงเงิน 72,000 ล้านบาท หรือทุกตำบลต้องมีผู้ประกอบการ SMEs เกษตร อย่างน้อย 1 ราย เพื่อให้เป็นตัวอย่างหรือเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างภาคการเกษตรของไทย โดยผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการประกอบอาชีพของเกษตรกรหรือชุมชน และการพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรหรือชุมชนในกระบวนการผลิต การรวบรวม การแปรรูป การตลาด และการบริการ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตนเองเพื่อเป็นผู้ประกอบการ SMEs เกษตร
โครงการดังกล่าว ธ.ก.ส.กำหนดวงเงินกู้รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท ตั้งแต่ปีที่ 1-7 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี และตั้งแต่ปีที่ 8 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามประเภทของลูกค้าผู้กู้ แต่ละรายในอัตรา MRR หรือ MLR แล้วแต่กรณี และกำหนดให้จัดทำหนังสือกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2560 สำหรับหลักประกันในการกู้ยืมให้ใช้หลักประกันหนี้เงินกู้เป็นไปตามข้อบังคับและวิธีปฏิบัติของธนาคาร กรณีที่ใช้หลักประกันไม่เพียงพอให้สามารถใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อตามโครงการได้
“ธ.ก.ส.มีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเกษตรให้มีความเข้มแข็งและเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สนับสนุนให้เกษตรกรปรับตัวเป็นผู้ประกอบการภาคเกษตร การนำนวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในภาคชนบทเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง มีความยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ก่อให้เกิดการจ้างแรงงาน เป็นการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม” นายลักษณ์กล่าว
นายลักษณ์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ ( 4 เมษายน 2559 ) ธ.ก.ส.ได้จัดประชุมมอบนโยบายการดำเนินงานในปีบัญชี 2559 ( 1 เมษายน 2559 – 31 มีนาคม 2560) ให้กับพนักงานทั่วประเทศกว่า 1,500 คน โดยมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนแบบองค์รวม การเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตร การพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการดำเนินกิจกรรมของเกษตรกรลูกค้าและชุมชน นอกจากนี้ยังมุ่งไปที่การสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในแต่ละกิจกรรมตลอดห่วงโซ่มูลค่าสินค้าเกษตรภายใต้หลักการบูรณาการแผนงานความร่วมมือแบบประชารัฐ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป