ที่ กองปราบปราม พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รักษาการ ผบก.ป. พ.ต.อ.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผกก.4 บก.ป. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.อ.จตุพล เร่งถนอมทรัพย์ ผกก.6 บก.ทล. แถลงข่าวจับกุม นายภาคิน หรือขุนพล จักรกาบาตร์ อายุ 35 ปี อาชีพขายรถยนต์มือสอง อยู่บ้านเลขที่ 1/6 ต.สามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 364/2559 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม, สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องใช้ยศ ตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ พร้อมของกลางเครื่องแบบทหาร เอกสารราชการ สิ่งเทียมอวัยวะเพศ โดยจับกุมได้ในที่ไนท์สวีทคอนโดมิเนียม ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี
พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก น.ส.เล็ก (นามสมมติ) เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป.ว่าถูกนายภาคิน อดีตสามีซึ่งรู้จักกันตั้งแต่ปี 2554 หลอกลวงว่าเป็นนายทหารยศ ร.ท. โดยครั้งแรกที่พบกันนายภาคินก็แต่งเครื่องแบบทหารบกจึงหลงเชื่อว่าเป็นทหารจริงและได้คบหากันเรื่อยมาก่อนจะตัดสินใจแต่งงานด้วยเมื่อปี 2556 โดยนายภาคินมาอาศัยอยู่กับครอบครัวตน กระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2558 นายภาคินอ้างว่าได้ติดยศ พ.ต.โดยย้ายมาเป็น ผบ.ม.พัน.29 รอ.ปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์ มีการนำภาพถ่ายซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นการตัดต่อมาให้ทางครอบครัวตนดู จากนั้นก็เริ่มขอหยิบยืมเงินโดยอ้างว่าจะนำไปใช้ดูแลผู้บังคับบัญชาเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ยืมไปลงทุนทำธุรกิจ, หลอกว่าต้องใช้จ้างคนสับเปลี่ยนไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และยังลักทรัพย์สินมีค่าของครอบครัวไปอีกหลายรายการมูลค่าทั้งสิ้น 6,279,000 บาท
พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวต่อว่า ในที่สุดก็เริ่มผิดสังเกต ผู้เสียหายจึงได้ตรวจสอบข้อมูลกับทางต้นสังกัด จนทราบว่านายภาคินไม่ได้เป็นทหาร นอกจากนี้ยังมีภรรยาหลายคน เมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดี ภายหลังรับแจ้งทางฝ่ายสืบสวน กก.1 กก.4 และ กก.5 บก.ป.ได้ร่วมกันสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ก่อนจะขออนุมัติศาลออกหมายจับ และติดตามจับกุมตัวไว้ได้ภายหลังผู้ต้องหาได้หลบหนีมาอาศัยอยู่ที่ไนท์สวีทคอนโดมิเนียม ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี
สอบสวนนายภาคินรับสารภาพว่ามีความใฝ่ฝันอยากเป็นทหารมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีโอกาส จึงไปหาซื้อเครื่องแบบทหารมาสวมใส่ ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้เลือกเป็นตำรวจเป็นเพราะตำรวจมีความใกล้ชิดประชาชน ขณะที่ทหารดูมีความน่าเชื่อถือและไม่น่าจะถูกจับผิดได้ง่าย เพื่อใช้ความเป็นทหารแอบอ้างตัวให้หญิงสาวที่ตนชอบพอ รวมถึงครอบครัวของฝ่ายหญิงหลงเชื่อว่าตนเป็นทหารจริง โดยในส่วนของ น.ส.ก้อย ได้คบหากันมาตั้งแต่ปี 2554 กระทั่งได้แต่งงานกันเมื่อปี 2556 ในระหว่างที่อยู่กินกันนั้นตนก็ยังคบหากับหญิงสาวอีก 3 คน โดยใช้วิธีแอบอ้างตัวเป็นนายทหารเช่นเดียวกัน และทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็จะแต่งเครื่องแบบทหารทุกวัน แต่เมื่อขับรถออกมาแล้วก็จะไปแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปั๊มน้ำมัน ก่อนจะไปทำงานที่เต็นท์รถยนต์มือสองซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวแฟนสาวคนแรกที่ได้แต่งงานด้วย
นายภาคินให้การอีกว่า ต่อมาตนคิดจะทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์จึงเอ่ยปากขอหยิบยืมเงินจากพ่อตาแม่ยาย มาเป็นทุนใช้สำหรับซื้อรถยนต์ก่อนจะนำไปขายต่อ โดยกำไรที่ได้มาส่วนหนึ่งจะนำมาแบ่งให้ น.ส.ก้อย แฟนสาว สำหรับกำไรอีกส่วนหนึ่งก็จะนำไปเลี้ยงดูหญิงสาวที่ได้คบหาอยู่ในเวลาเดียวกัน 3 คน กระทั่งจะถูกจับได้ว่าไม่ได้เป็นทหารจริง ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาหลายครั้ง รวมถึงได้อ้างว่าเป็นบุตรบุญธรรมของ พล.อ.ทรงกิตติ จักรกาบาตร์ อีกด้วย ตนรู้สึกสำนึกผิดและอยากจะขอโทษหญิงสาวทุกคนที่ถูกหลอก อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกจับกุมแล้วก็คิดว่าน่าจะดีที่ตนจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จะได้ไม่ไปหลอกลวงใครอีก ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม รับไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
อีกรายจับกุม นายวรพล มาวิมล หรือชยพล พัสวีวรโชติ อายุ 54 ปี บ้านเลขที่ 7/8 ซอยนาคนิวาส 61 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดหัวหิน ที่ จ.159/2559 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมของกลางเครื่องแบบทหาร เอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีการวิ่งเต้นเพื่อโยกย้ายตำแหน่งทหาร โดยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 497 หมู่ 1 ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา
พ.ต.อ.จรูญเกียรติกล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายร้องเรียนว่านายวรพลมีพฤติการณ์อ้างตัวว่าเป็นเสธ.ทหาร ทำงานอยู่ในวังของพระราชวงศ์ชั้นสูง ชอบนำตราสัญลักษณ์ติดตามที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นทหาร พร้อมโอ้อวดว่าตนสามารถรับฝากข้าราชการและวิ่งเต้นในการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ทั้งครู ทหาร ตำรวจได้ นอกจากนี้ยังมักโชว์อาวุธปืนพกประจำกายและมีวัตถุระเบิดไว้ในกระเป๋าส่วนตัว โดยเฉพาะยิ่งช่วงไหนที่มีการปรับตำแหน่งโยกย้ายจะเป็นช่วงที่มีคนเข้าหานายวรพลเป็นจำนวนมาก โดยทาง บก.ป.ได้ประสานชุดสืบสวน กก.สส.3 บก.สส.ภ.7 ติดตามพฤติกรรมจนเป็นที่แน่ชัดว่านายวรพลมีการแอบอ้างเบื้องสูง
พ.ต.อ.จรูญเกียรติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาคนในเครื่องแบบยศและตำแหน่งใหญ่หลายคนจะเกรงกลัวและเกรงใจนายวรพลอย่างมาก แต่หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วทางพนักงานสอบสวนจึงขออนุมัติศาลจังหวัดหัวหิน ออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวนายวรพลไว้ได้ดังกล่าว ขณะเดียวกันได้ประสานให้ตำรวจ สภ.หาดเจ้าสำราญ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.15 (เพชรบุรี) เข้าตรวจค้นบ้านพักอีกหลังของนายวรพล ตั้งอยู่เลขที่ 269/51 หมู่ 2 ต.หาดเจ้าสำราญ อ.เมือง จ.เพชรบุรี พบของกลางเป็นเอกสารแนะนำตัว ยศ ตำแหน่ง ระบุการขอโยกย้ายไปยังที่ต่างๆ ของหลายหน่วยงานข้าราชการ ทั้งครู ทหาร ตำรวจ ฯลฯ จำนวนมาก จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน
พ.ต.อ.จรูญเกียรติกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตรวจสอบประวัติย้อนหลังพบว่านายวรพลเคยถูกศาลออกหมายจับไว้อีก 4 หมาย ได้แก่ หมายจับศาลจังหวัดพัทลุง ที่ 147/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์, หมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ จ.1767/2550 ลงวันที่ 13 กันยายน 2550 ข้อหาลักทรัพย์ผู้อื่น, หมายจับศาลแขวงธนบุรี ที่ 1147/2550 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2550 ในข้อหายักยอกทรัพย์ และหมายจับศาลจังหวัดหัวหิน ที่ จ.94/2559 ลงวันที่ 2 เมษายน 2559 ในข้อหากรรโชกทรัพย์
สอบสวนนายวรพลให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าทำธุรกิจสนามไดรฟ์กอล์ฟอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และยืนยันว่าไม่เคยแอบอ้างเบื้องสูง และไม่ได้แสดงตัวเป็นเสธ.ทหารแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวเชื่อว่าถูกสองสามีภรรยาที่มีปัญหาเรื่องการซื้อขายบ้านกับตน 5 ล้านบาทเมื่อปี 2557 กลั่นแกล้ง เพราะขณะนั้นได้ตกลงซื้อบ้านจากทั้งสอง แต่มีปัญหาเกิดขึ้นจึงยังไม่สามารถโอนบ้านให้ ตนจึงไม่จ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ทำให้ทั้งสองเกิดความโกรธแค้น พร้อมทั้งชี้หน้าแสดงความอาฆาตว่าจะเอาเรื่องตนให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหมายจับเก่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับภรรยาเก่าที่เลิกราไปแล้วซึ่งตนขอปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาในทุกหมายจับ
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหา และมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดว่าจะสามารถเอาผิดต่อผู้ต้องหารายนี้ได้ โดยได้คุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนรับดำเนินคดีตามกฎหมาย
|