ในที่สุด ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” ที่ประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างทีม “ตราไก่” ฝรั่งเศส เจ้าภาพ กับ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ที่สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ ย่านแซงต์-เดนีส์ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม
ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องป์ กุนซือฝรั่งเศส อดีตแชมป์ 2 สมัย จัดทีมในระบบ 4-2-3-1 เหมือน 2 รอบที่ผ่านมาซึ่งถล่มไอซ์แลนด์ 5-2 และชนะเยอรมนี 2-0 ประกอบด้วยผู้รักษาประตู อูโก้ โยริส แนวรับ บาการี่ ซาญ่า, โลร็องต์ กอสเซียลนี่, ซามูเอล เอิงติตี้ และปาทริซ เอวร่า กองกลางตัวตัดเกม และเชื่อเกมเป็น ปอล ป๊อกบา กับ เบลส มาตุยดี้ กลางรุก มุสซ่า ซิสโซโก้, อ็องตวน กรีซมันน์ และดิมิทรี ปาเยต หน้าเป้า โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
ส่วนเฟร์นานโด ซานโตส โค้ชโปรตุเกส อดีตรองแชมป์ 12 ปีก่อน วางหมาก 4-1-3-2 มีผู้รักษาประตู รุย ปาทริซิโอ กองหลังได้ เปเป้ หายเจ็บกลับมายืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับโจเซ่ ฟอนเต้ ส่วนแบ๊ก 2 ข้างได้แก่ เซดริค โซอาเรส และราฟาเอล เกอร์เรโร่ กองกลางมี วิลเลียม คาร์วัลโญ่ พ้นโทษแบน 1 นัดกลับมาเป็นตัวตัดเกม มิดฟิลด์ตัวรุก เจา มาริโอ, เอเดรียน ซิลวา และเรนาโต้ ซานเชซ คู่หัวหอก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และนานี่
11 ผู้เล่นทั้งสองทีม
โปรตุเกส 4-1-3-2 : รุย ปาทริซิโอ- เซดริค โซอาเรส, เปเป้, โจเซ่ ฟอนเต้, ราฟาเอล เกอร์เรโร่- วิลเลียม คาร์วัลโญ่- เจา มาริโอ, เอเดรียน ซิลวา, เรนาโต้ ซานเชซ- นานี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ฝรั่งเศส 4-2-3-1 : อูโก้ โยริส- บาการี่ ซาญ่า, โลร็องต์ กอสเซียลนี่, ซามูเอล เอิงติตี้, ปาทริซ เอวร่า- ปอล ป๊อกบา, เบลส มาตุยดี้- มุสซ่า ซิสโซโก้, อ็องตวน กรีซมันน์, ดิมิทรี ปาเยต- โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
เริ่มเกมได้ 7 นาที ทั้ง 2 ทีมต่างมีลุ้นทำประตู เริ่มจากนานี่ ศูนย์หน้าโปรตุเกสหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปยิงข้ามคาน ตามด้วยการหลุดเข้าไปยิงเช่นกันของอ็องตวน กรีซมันน์ ของฝั่งฝรั่งเศส แต่บอลไม่ตรงกรอบ
3 นาทีต่อมา ฝรั่งเศสน่าจะได้สกอร์ถึง 2 ครั้งติด โดย เปเป้ กองหลังโปรตุเกสเปิดบอลไม่ดีไปเข้าทางดิมิทรี ปาเยต ที่วางบอลให้กรีซมันน์โหม่งลูกกำลังจะย้อยเสียบใต้คาน แต่รุย ปาทริซิโอ นายทวารโปรตุเกสยังบินปัดลูกออกหลังไปได้ ส่วนลูกเตะมุมก็เป็นโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ โหม่งไปตรงตัวปาทริซิโออีก
อย่างไรก็ตาม จากจังหวะดังกล่าว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จอมทัพคนสำคัญโปรตุเกส ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับปาเยต จนต้องออกไปปฐมพยาบาลข้างสนามถึง 2 ครั้ง และสุดท้ายก็ฝืนทนเจ็บไม่ไหว ต้องยอมเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 24
นาที 34 ฝรั่งเศสเกือบได้ประตูอีกหน จากจังหวะที่มุสซ่า ซิสโซโก้ หมุนตัวพาบอลไปยิงติดเซฟปาทริซิโอ
จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0
ส่วนครึ่งหลังเริ่มได้ 8 นาที เป็นอีกครั้งที่ฝรั่งเศสได้ลุ้นอีก จากการยิงไกลของปอล ป๊อกบา แต่บอลข้ามคานออกไป
นาที 66 ฝรั่งเศสพลาดการได้ประตูไปอย่างเหลือเชื่อ เมื่อคิงส์ลีย์ โกม็อง ตัวสำรองที่ลงมาแทนปาเยต เปิดบอลให้กรีซมันน์โหม่งจ่อๆ ไม่กี่หลาข้ามคาน
9 นาทีถัดมา ฝรั่งเศสน่าจะได้สกอร์ไม่แพ้จังหวะก่อนหน้านี้ จากการยิงของชิรูด์ แต่ปาทริซิโอยังป้องกันไว้ได้อีก
นาที 80 โปรตุเกสวนกลับจนเกือบได้ประตู เมื่อนานี่กึ่งยิงเองกึ่งผ่าน จนอูโก้ โยริส นายทวารฝรั่งเศสต้องปัดบอลทิ้ง แม้ริคาร์โด้ กวาเรสม่า ซึ่งลงมาแทนโรนัลโด้จะตีลังกายิงซ้ำ แต่ลูกยังตรงตัวโยริส
4 นาทีให้หลัง คราวนี้เป็นฝรั่งเศสที่ได้ลุ้น จากลูกยิงไกลของซิสโซโก้ แต่ปาทริซิโอยังลอยตัวเซฟได้
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 2 จาก 3 นาที อ็องเดร-ปิแอร์ ชินญัก ที่ลงมาแทนชิรูด์ โยกหลอกเปเป้ ก่อนยิงไปชนเสา
จบ 90 นาที ฝรั่งเศส เสมอ โปรตุเกส 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
นาที 104 โปรตุเกสเกือบได้ประตูบ้าง จากการโหม่งลูกเตะมุมของเอแดร์ ซึ่งลงมาแทนเรนาโต้ ซานเชซ แต่บอลยังไปตรงตัวโยริส
ก่อนจบช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรก ยังเสมอ 0-0
เริ่มช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลังได้ 3 นาที มาร์ก แคลตเตนเบิร์ก ผู้ตัดสินจากประเทศอังกฤษ ตัดสินผิดพลาดให้โปรตุเกสได้ลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษฝรั่งเศส ทั้งที่บอลไปโดนมือของเอแดร์ แต่แคลตเตนเบิร์กมองว่าบอลไปโดนมือโลร็องต์ กอสเซียลนี่ กองหลังฝรั่งเศส ก่อนที่ราฟาเอล เกอร์เรโร่ แบ๊กซ้ายโปรตุเกสจะปั่นฟรีคิกไปชนคาน
อย่างไรก็ตาม นาทีถัดมาโปรตุเกสขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่เอแดร์ยิงไกลเข้าไปดื้อๆ
จบเกม 120 นาที โปรตุเกส เฉือนชนะ ฝรั่งเศส 1-0 คว้าแชมป์ยูโรได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์