ฟุตบอล“ยูโร 2016” คู่แรกของค่ำคืน (18 มิย.)แข่งขันในรอบแรก กลุ่มอี นัดที่สอง ระหว่าง “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม ทีมอันดับ 2 ของโลก แต่ยังไม่เคยคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ได้เลยทั้งฟุตบอลยูโร และฟุตบอลโลก ลงสนามนัดที่สองพบกับ “ยักษ์เขียว” ไอร์แลนด์ ทีมอันดับ 33 ของโลก ที่สต๊าด เดอ บอร์โดซ์ เมืองบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน
ผลงานนัดแรก เบลเยียม พลาดท่าพ่าย “อัซซูรี่” อิตาลี 0-2 ขณะที่ไอร์แลนด์เสมอกับ “ไวกิ้ง” สวีเดน 1-1 โดยสถิติที่เบลเยียมและไอร์แลนด์เคยเจอกันก่อนหน้านี้ 13 นัด ปรากฏว่า เบลเยียมชนะ 5 นัด แพ้ 3 นัด และเสมอกัน 5 นัด ยิงประตูได้ 25 ประตู และเสียไป 20 ประตู ซึ่งสถิติที่น่าสนใจเบลเยียมไม่เคยแพ้ไอร์แลนด์ในรอบแบ่งกลุ่มถึง 50 ปี และพวกเขาไม่เคยแพ้ในแมตช์อย่างเป็นทางการ โดยชนะ 2 นัด และเสมอ 5 นัด รวมถึงเบลเยียมเคยเอาชนะไอร์แลนด์ 3-1 ในศึกฟุตบอลโลก 1998 รอบเพลย์ออฟ
เกมนี้ มาร์ค วิลม็อตส์ กุนซือทีมชาติเบลเยียม จัดทัพในระบบการเล่น 4-2-3-1 โดย 11 นักเตะตัวจริง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู ธิโบต์ กูร์ตัวส์ กองหลัง แยน แฟร์ตองเก้น, โธมัส แฟร์มาเลน, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, โธมัส มูนิเย่ร์ แดนกลางนำโดยอักเซล วิตเซล, มูซ่า เด็มเบเล่, เควิน เดอ บรอยน์, ยานนิค แฟร์ไรร่า การ์ราสโก้ และเอเด็น อาซาร์ (กัปตันทีม) ส่วนศูนย์หน้าตัวเป้ายังคงเป็นโรเมลู ลูกากู
ขณะที่ มาร์ติน โอนีล กุนซือทีมไอร์แลนด์ วางแผนในระบบการเล่น 4-4-2 โดย 11 นักเตะตัวจริง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู ดาร์เรน แรนดอล์ฟ กองหลัง ซีมุส โคลแมน, จอห์น โอเชีย, เคียแรน คลาร์ก, สตีเฟ่น วอร์ด แดนกลางมีเจฟฟ์ เฮนดริค, เกล็นน์ วีแลน, เจมส์ แม็คคาร์ธี่, ร็อบบี้ เบรดี้ แดนหน้ามี เวส ฮูลาฮาน และเชน ลอง
เกมครึ่งแรกนาทีที่ 5 เบลเยียมเปิดฉากบุกขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งขวาก่อนบอลไปถึงเดอ บรอยน์ ล็อกบอลในเขตโทษและไหลบอลให้การ์ราสโก้เปิดบอลยัดเข้ากลาง แต่เข้าซองของดาร์เรน แรนดอล์ฟ นายทวารไอร์แลนด์
นาทีที่ 13 เบลเยียมได้ลุ้นจากจังหวะลูกเตะมุม เดอ บรอยน์เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษให้อัลเดอร์ไวเรลด์โฉบเข้าไปโหม่งบอลหลุดกรอบออกไป
นาทีที่ 20 เบลเยียมโหมบุกกดดันหนักและมีโอกาสใกล้เคียงได้ประตูขึ้นนำ เดอ บรอยน์เปิดบอลเข้าเขตโทษก่อนที่จอห์น โอเชีย กองหลังไอร์แลนด์โหม่งสกัดบอลไม่ขาดไปเข้าทางอาซาร์ตะบันหลังเท้าบอลเหินข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 25 เดอ บรอยน์ตักบอลให้การ์ราสโก้หลุดเดี่ยวเข้าไปดีดบอลไปชนคานก่อนกระเด้งออกมาแล้วโหม่งซ้ำเข้าไปตุงตาข่าย แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงให้เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน
นาทีที่ 32 ไอร์แลนด์ได้ลุ้นจากลูกฟรีคิก เวส ฮูลาฮานโยนบอลเข้าไปกดดันในเขตโทษก่อนที่เคียแรน คลาร์ก เติมเกมรุกขึ้นมาโขกบอลออกหลังไป
จากนั้นเบลเยียมโหมบุกหันกฝ่ายเดียว แต่ยังเจาะไม่เข้า จบครึ่งแรกเสมอกัน 0-0
ครึ่งหลังนาทีที่ 48 เบลเยียมพังประตูขึ้นนำสำเร็จ 1-0 จากจังหวะโต้กลับเร็วทางฝั่งขวา เดอ บรอยน์กระชากบอลแหวกแนวรับไอร์แลนด์แล้วปาดบอลให้โรเมลู ลูกากูลากบอลจี้เข้าเขตโทษแล้วสับไกยิงด้วยซ้ายเสียบโคนเสาเข้าประตูไป
นาทีที่ 57 มูซ่า เด็มเบเล่ไปสกัดใส่ร็อบบี้ เบรดี้ จนตัวเองได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า และฝืนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้เบลเยียมต้องเปลี่ยนตัวส่ง ราเดีย นาอิงโกลัน ลงมาเล่นแทน
นาทีที่ 59 ไอร์แลนด์เปิดเกมบุกหวังทวงประตูคืนมา ซีมุส โคลแมน โยนบอลข้ามไปให้ ร็อบบี้ เบรดี้ ซัดบอลไปติดบล็อกผู้เล่นเบลเยียม
นาทีที่ 61 เบลเยียมอาศัยจังหวะบุกสวนกลับยิงประตูหนีห่างเป็น 2-0 โธมัส มูนิเย่ร์ โยนบอลเข้าไปให้อักเซล วิตเซลลอยตัวขึ้นโขกโล่งๆ ตุงตาข่าย
นาทีที่ 70 เบลเยียมใช้เกมโต้กลับเร็วยิงงปีระตูที่ 3 จากอาซาร์ผ่านบอลให้ลูกากูซัดโล่งๆ เข้าไป
จบเกมเบลเยียมชนะไอร์แลนด์ 3-0 เก็บ 3 เต้มแรกสำเร็จ ลงเตะ 2 นัด ชนะ 1 แพ้ 1 มี 3 แต้ม ยังต้องลุ้นเข้ารอบ16 ทีมในนัดสุดท้ายกับสวีเดน วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 02.00 น. ส่วนไอร์แลนด์ ลงเตะ 2 นัด เสมอ 1 แพ้ 1 มี 1 แต้ม นัดสุดท้ายจะพบอิตาลีในวันเดียวกัน