นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาท ออกไปเป็นปี 2563 จากเดิมที่ต้องมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมปีนี้ ว่า นับเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินมากขึ้น โดยการเลื่อนการคุ้มครองเงินฝากในครั้งลงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความพร้อมรวมถึงสภาพคล่องของธนาคารที่ยังมีเพียงพอ เพราะที่ผ่านมาธนาคารมีการเตรียมความพร้อมด้านระบบและการทำความเข้าใจไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งธนาคารพร้อมดำเนินการตามนโยบายที่ออกมาอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากในอนาคตจะมีผลบังคับใช้ จะไม่มีปัญหาและไม่น่าห่วงแต่อย่างใด
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า การเลื่อนระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากออกไปอีก 1 – 2 ปี จะไม่มีผลกระทบหรือผลในทางปฏิบัติแต่อย่างใด ทั้งในส่วนของธนาคารขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะขนาดใหญ่ ที่มีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว ดังนั้น จึงจะไม่มีผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งประชาชนผู้ฝากเงินและผู้ประกอบการสถาบันการเงิน
ส่วนด้านการแข่งขันของธนาคารในการระดมเงินฝากนั้น ยืนยันไม่ได้ผลกระทบในด้านการแข่งขัน เพราะทุกธนาคารต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งหลังจากนี้ไป จะเป็นการแข่งขันด้านเวลาและผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับรายย่อยไว้เช่นเดิม เพื่อดูแลผลตอบแทนให้เหมาะสมต่อไป แต่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ธนาคารอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษเพื่อรักษาต้นทุน แต่จะเป็นการปรับในอัตราที่ไม่มากนัก
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย มองว่า การขยายเวลาการคุ้มครองเงินฝากขณะนี้ เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อจะช่วยความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุน ที่มีความเป็นห่วงเงินฝากในระบบในบัญชีของตนเอง ทั้งนี้ หากขยายระยะเวลาออกไปจะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และจะได้มีเวลาในการหาทางเลือกในการกระจายการลงทุนในช่วงที่การคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 25 ล้านบาท อยู่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสภาพคล่องของธนาคาร เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ยังมีสภาพคล่องสูง เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อได้ตามปกติ
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ปรับลดลงในขณะนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้มีภาระในการผ่อนชำระลดลง แต่จะปรับลดลงอีกหรือไม่ในอนาคต ต้องขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐจะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด โดยธนาคารยังมองว่าเศรษฐกิจปีนี้ยังจะโตได้ร้อยละ 3 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจแล้ว