เพื่อ….ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์-ประชาชน และผดุงความเป็นจริง
“ฉลอง-ภรรยาสาว”อ่วมโดน”พี่ภรรยา” ฟ้องคดี อาญาไม่ต่ำกว่า 6คดี แพ้แล้ว 2 คดี อีกคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และตามติดอีกไม่ต่ำกว่า3คดี หวั่นกระทบ ภาพพจน์”ศิลปินแห่งชาติ” จากผลของคดี
ผู้กำกับรุ่นเก๋า”ฉลอง ภักดีวิจิตร และภรรยาวัยสาว” พบมรสุมชีวิตงาน ถูกพี่ภรรยา ฟ้องคดีอาญา ไม่ต่ำกว่า 6 คดี และคดีแพ้ชัดเจนไปแล้ว 2คดี และคดีที่อยู่ในขั้นตอนอุทธรณ์ และคดีที่นัดไต่สวนทยอยตามอีกหลายคดี ที่แน่ๆก็ต้องประกันตัวและเดินทางไปขึ้นศาล
ผู้กำกับหนังมือทองซึ่งถูกโฉลกกับหนัง-ลครที่มักจะพบควาใสำเร็จมักจะมีชื่อหนัง-ลคร ต้องมีชื่อ”ทอง” ติดในชื่อเรื่องเสมอ
และต่อมา”ฉลอง”ก็เป็นข่าวที่ฮือฮา! สท้านเสทือน จนเป็นที่น่าอิจฉาในมวลหมู่ชาย หนุ่มน้อย-หนุ่มใหญ่ หนุ่มในวัยสว.
สท้านวงการผู้ชายสูงอายุ ที่ได้สามารถพิชิตใจเด็กสาวที่อายุต่างกันมาก ถึง 45 ปี เป็นที่อิจฉายิ่งนักสำหรับบรรดาชายๆทั้งหลาย
โดยมีภาพสุดหวานแหว๋วของ ” (อาหลอง) ฉลอง ภักดีวิจิตร” ผู้กำกับละครดังช่อง 7 และศิลปินแห่งชาติปี 2556 วัย 83 ปี เข้าพิธีแต่งงานสายฟ้าแล่บรอบ 2 กับ เล็ก พิมพ์สุภัค อินทรีย์ นักธุรกิจสาวนอกวงการวัย 38 ปี ที่อายุห่างกันถึง 45 ปี หนทางเส้นทางความรักดูราบรื่นยิ่งนัก
แต่การร่วมงาน ระหว่าง พี่สาวภรรยาคือ”น.ส.ระวิสรา อินทรีย์ หรือ -ตู่” ร่วมกัน กับ”ฉลองและภรรยาสาว เปิด”บริษัท อินทรีย์ ออดิโอ วิชั่น จำกัด” ร่วมลงทุนในการสร้างละครเรื่อง“ทิวลิปทอง” ก็เกิดปัญหาการดำเนินการในบริษัท
และล่าสุด ก็ได้”ฉลอง ภักดีวิจิตร” ถูกพี่สะใภ้ฟ้องเรียก 30 ล้านปมสร้างละคร “ทิวลิปทอง”กำกับรุ่นเก๋า “ฉลองภักดีวิจิตร” ถึงขั้นฟ้องคดีขึ้นศาลคดีพิพาทกับพี่ภรรยา เรื่องค่าใช้จ่ายลงทุนทำหนัง”ทิวลิปทอง”มูลค่าความเสียหาย 30 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2561ที่ผ่านมา ผู้กำกับหนังภาพยนต์ชื่อดัง “อาฉลอง” ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือ นายบุญฉลอง ภักดีวิจิตร อายุ 87 ปี พร้อมทนายความ เดินทางมาศาล หลังตกเป็นจำเลยมีคดีพิพาทกับน.ส.ระวิสรา อินทรีย์ ซึ่งเป็นฝ่ายโจทก์ผู้เสียหายและยังเป็นพี่สาวของ “เล็ก พิมพ์สุภัค” ภรรยาอาฉลอง
คดีนี้อยู่ชั้นอุทธรณ์คดี ซึ่งที่สุดในผลแห่งคดีก็อยู่ในขั้นตอนของศาล
และยังมีคดีที่ทั้ง”ฉลองและภรรยา ฟ้อง ว่าถูก”พี่ภรรยา “หมิ่นประมาท ศาลก็ตัดสิน ว่าคดีไม่มีมูล ยกฟ้อง
และขณะนี้ ทั้ง”ฉลอง ภักดีวิจิตร และภรรยา” ก็ถูกดำเนินการฟ้องกลับในคดีนี้
คดีล่าสุด พี่ภรรยาฟ้อง ทั้ง “ฉลอง ภักดีวิจิตร และภรรยา เป็นคดี “ร่วมกันยักยอกทรัพย์ เบื้องต้น ทั้ง”ฉลองและภรรยา ให้การปฎิเสธขอต่อสู้คดี แต่ในวันขึ้นศาล ทำคำร้องขอถอนคำให้การเดิม เป็นขอให้การใหม่ โดยทั้งสองให้การใหม่เป็น ยอมตามคำฟ้องของพี่ภรรยา จึงเท่ากับว่ามีความผิดตามที่ถูกฟ้อง แต่ได้มีการรอการกำหนดโทษ ตามที่ทั้งสองร้องขอต่อศาล จึงเท่ากับคำฟ้องนั้นถูกต้องตามคำฟ้อง
และแม้จะมีคดีที่ผ่านการตัดสินของศาล มาแล้ว3 คดี แต่ ทั้ง”ฉลอง-และภรรยา” แต่ก็คงยังมีคดีที่”พี่ภรรยา” ฟ้อง จะต้องไปศาล อีกไม่ต่ำกว่า 3คดี“ทนาย “และ “น.ส.ระวิสรา อินทรีย์”
แม้ “ฉลอง “จะพยายามให้ข่าวต่อสื่อ และสาธารณะ ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว
แต่ด้านพี่ภรรยาคือ “น.ส.ระวิสรา อินทรีย์” หรือ “ตู่” ได้ระบายความอึดอัดในใจ
“ตู่”ไม่ได้สนับสนุนเรื่องการแต่งงาน แต่เพราะทั่งสองบอกว่ารักกัน และขอร้องให้ตู่ช่วย ตู่ก็จำเป็นต้องทำเครียดและเหมือนตายทั้งเป็นมาเป็นปี
ตอนนี้เข้มแข็งและพร้อมเรียกร้องความถูกต้องและยุติธรรมให้กับตัวเองค่ะความจริงก็คือความจริง มั่นคง และเชื่อว่า กฎหมายจะตัดสินทุกอย่างค่ะ
เน้นนะคะ ว่านี่แค่ออเดิฟค่ะ อาหารจานหลักยังไม่ได้ออกเสริฟค่ะ
กล้องตู่ก็ฃื้อด้วยเงินสด สิบกว่าล้าน เพื่อมาถ่ายทำละคร ลงทุนด้วยเงินสดเกือบทั้งหมดยกกองไปถ่ายทำ ละครเรื่อง”ทิวลิปทอง”ที่บ้าน”ตู่”ที่ศรีสะเกษ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่”ตู่”ควักจากเงินส่วนตัวจ่ายเกือบทั้งหมดคำขอบคุณ คุณพ่อ-คุณแม่ ครอบครัว อินทรีย์ ไม่มีเลยสักคำ แถมก่อนกลับ เลี้ยงโต๊ะจีนเอาวงดนตรีมาเลี้ยงส่งกัน ช่างน่าเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
สำหรับตู่ มันโหดร้าย มันเจ็บปวด น้ำตาเป็นสายเลือด ตู่ยังจำได้วันที่เขาทั้งสองคนมาขอร้อง ชักชวนให้ตู่ มาลงทุนทำละครไม่ใช่ภรรยาของเขาคนเดียว เขาทั้งสองคนช่วยกันชักชวนและพูดต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านที่ศรีสะเกษ ว่า ไม่มีทุน มีแค่ความรู้ ที่ตกลงและตัดสินใจมาลงทุนเพราะอีกคนก็น้องสาวที่เรียกเราว่า แม่คนที่สอง และคือคนที่เราดูแลส่งเสียเล่าเรียน และฉลองก็อายุมากแล้ว ถ้าไม่ช่วยเหลือ ตู่รู้สึกไม่ดี เสียสละให้ไปอยู่คอนโดแถวรัชดาก่อนและหลังแต่งงาน หลังแต่งงานตู่ก็ฃื้อบ้านที่ศรีสมาน หมู่บ้านเศรษฐสิริ และให้ฉลองและภรรยาอาศัยอยู่ และยังให้ฉลองมาเป็นเจ้าบ้าน บ้านตู่ฃื้อเงินสดในราคา 18 ล้าน ตบแต่งขยายด้วยรวมแล้วตกอยู่ที่ 30 กว่าล้านที่ทำทั้งหมดก็เพื่อเขาทั้งสอง ไม่ได้หวังกำไร แค่ขอทุนคืนและที่ลงทุนไปทั้งหมดแต่ตอนนี้เราส่งคำร้องขอเช็คยอดเงินจากธนาคาร จึงทราบว่ายอดเงินของบริษัท หายไปจำนวนหลายล้านและหลายรายการ ตอนนี้กำลังดำเนินงานตรวจสอบรายละเอียดมากกว่านี้ต่อไป
ล่าสุด น.ส.ระวิสรา อินทรีย์ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางศาล ได้เคยนัดตนและทางฝ่ายคู่กรณี(อาฉลอง)มาตกลงเจรจาไกล่เกลี่ยเรื่องคดีที่ตนเองได้เรียกค่าเสียหายไปเป็นจำนวนเงิน 30ล้านบาท โดยหากว่าทางฝ่ายคู่กรณียินยอมตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้ พร้อมทั้งลงขอโทษผ่านสื่อหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 15 วัน ตนเองก็พร้อมให้อภัยเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ ครอบครัว “อินทรีย์” ได้รับความเสียหายและเสียชื่อเสียงมามากพอแล้ว
แต่ขณะนี้ได้เลยขั้นตอนนั้นไปแล้ว “น.ส.ระวิสรา อินทรีย์-ตู่”จึงยังขอยืนยันอีกครั้งจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยใดๆทั้งสิ้นค่ะ