“สปก.”แจ้งเป้าหมาย ยึดที่ดิน สปก.คืนจากคนรวยเพื่อแจกคนจนให้มีที่ทำกิน
“ปฏิรูปที่ดินฯ(สปก)” นายวัชรินทร์ วากะมะนนท์ ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)กาญจนบุรี นางรจนพรรณ ณรงค์อินทร์ นิติกรส.ป.ก.กาญจนบุรี นายสุขสันต์ คงเจริญ นิติกร ส.ป.ก.กาญจบุรีนายไพโรจน์ เหรียญกิจการ นายช่างสำรวจชำนาญงาน ส.ป.ก.กาญจนบุรีและนายพยุง เหลี่ยมจงกล นายช่างโยธาชำนาญงาน ส.ป.ก.กาญจนบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.กาญจนบุรี เดินทางไปที่วัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน หรือวัดเสือ หมู่ 5 ต.วัดสิงห์ อ.ไทรโยค เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 44 คำสั่งที่ 36/2559 เรื่องมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมโดยมิชอบกฎหมาย เมื่อประมาณเวลา 10น ของวันที่ 8 กค.59 รังวัด สำรวจ และจัดทำแผนที่แปลงที่ดิน ที่ได้อนุญาตให้วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน(วัดเสือ) จำนวน 391-1-21 ไร่ ตามที่ได้รับอนุญาติเพื่อใช้ในการประกอบกิจทางพุทธศาสนาและในส่วนพื้นที่ที่บุกรุกที่ดิน ส.ป.ก. อีกจำนวน 931-0-83 ไร่ นั้น ได้สอบเพิ่มเติมแล้วทำการยึดพื้นที่คืนทั้งหมด
เข้าตรวจยึด “ที่ดิน ตระกูลดัง” ติดป้ายประกบป้าย ห้ามใช้ที่ดิน -ห้ามบุกรุก
แล้วคณะ ส.ป.ก.กาญจนบุรี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารชุดประสานงานประจำพื้นที่ ร.29 ได้เดินทางไปติดตั้งป้ายตรวจยึดที่ดิน ส.ป.ก.ที่มีเอกชนยึดครอบครองอีก 1 แปลง ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ติดกับถนนสาย 323 ตั้งอยู่หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี โดยอยู่ห่างจากวัดป่าหลวงตาบัวฯประมาณ 2 กิโลเมตรไปถึงเจ้าหน้าที่พบว่ามีป้ายประกาศติดเอาไว้ที่ริมถนนแสดงความเป็นเจ้าของ โดยป้ายดังกล่าวมีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของ ( น.ส.เพียงใจ หาญพาณิชย์ ) ผู้บุกรุกจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”
สำหรับป้ายดังกล่าวมีสภาพเก่าแสดงให้เห็นว่าได้นำป้ายมาติดตั้งเอาไว้นานแล้ว อีกทั้งยังมีกิ่งไม้ที่ขึ้นข้างทางปกคลุมเอาไว้ เจ้าหน้าที่จึงตัดกิ่งไม้ที่ปกคลุมออกเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน.
จากนั้นนายวัชรินทร์ ส.ป.ก.กาญจนบุรี จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตั้งป้ายประกบแสดงกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก.เอาไว้ติดกัน โดยป้ายที่ ส.ป.ก.นำไปติดตั้งเขียนระบุว่า “ประกาศสำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี (ส.ป.ก.กาญจนบุรี)ที่ดินจำนวน 1,263 ไร่ ผืนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.ป.ก. “ห้าม” ผู้ใดบุกรุก หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี โดยเด็ดขาดทุกราย ทั้งนี้ ส.ป.ก.กาญจนบุรี จะนำที่ดินผืนนี้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน โดยอาศัยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 36/2559 ลงวันที่ 5ก.ค.59 เรื่องมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมายอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ
จากการตรวจสอบหาข้อมูลจากทาง(NET) แจ้งว่าบุคคลดังกล่าว เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังระดับประเทศ มีทรัพย์สินมากมายนับแสนล้านบาท ทุกรัฐบาลและนักธุรกิจชื่อดังของประเทศไทย เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม
โดยที่น.ส.เพียงใจ หาญพาณิชย์ ที่มีชื่อในป้ายที่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็การแอบอ้างชื่อหรือไม่ มีฐานะเป็นมารดาของนายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เจ้าของบริษัทแลนด์แอนเฮารายใหญ่ของประเทศ จากการสอบถามต่างๆในพื้นที่ก็ไม่มีข้อยืนยันสรุปในข้อเท็จจริงหรือเอกสารทางราชการว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของนส.เพียงใจ จริงหรือเท็จประการตามที่มีข้อความระบุในป้ายนี้ เบื้องต้นจึงไม่สามารถสรุปชัดเจนว่า นส.เพียงใจ เป็นเจ้าของ หรือทำป้ายเอง ตามข้อความที่ระบุในป้ายแต่ประการใด ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ขัดอีกครั้งก่อนจึงจะมีข้อสรุปที่แน่ชัดและชัดเจน
(สปก.)ชี้แนะ ถ้าไม่โดนคดีต้องส่งมอบที่คืน และหากมอบคืนแต่โดยดี นอกจากไม่โดนคดีแล้วยังได้รับประกาศเกียรติคุณยกย่องอีด้วย ในฐานมีความบริสุทธิ์ใจ
“ส.ป.ก.กาญจนุบรี” ชี้แจงเพิ่มเติมว่า พื้นที่ ส.ป.ก.เกิน 500 ไร่ในกาญจนบุรี ที่ต้องเข้ากระบวนการจึดคืนี 14 แปลงใหญ่ ใน 4 อำเภอ รวมเนื้อที่ 14,927 ไร่ และจะนำรายละเอียด ไปติดประกาศไว้ ณ ทำการผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และที่ว่าการอำเภอทั้ง 4 อำเภอ รวมทั้งนำไปติดตั้งเอาไว้บริเวณที่ดินด้วย โดยจะให้เวลา 7 วัน เพื่อให้ผู้ครอบครองที่ดินมาแสดงตนและนำเอกสารมาแสดงการครอบครอง หากยังไม่มาแสดงตนก็จะให้เวลาอีก 15 วัน หากมีผู้มาแสดงตนพร้อมนำเอกสารการครอบครองมาพิสูจน์ เจ้าหน้าที่ก็จะใช้เวลาในการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากพบว่าเอกสารที่นำมาแสดงถูกต้อง ส.ป.ก.ก็จะคืนพื้นที่ให้ แต่ถ้าหากพบว่าเอกสารได้มาโดยไม่ถูกต้อง ก็จะดำเนินการทางด้านกฎหมาย“สำหรับผู้ที่ครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.หากรู้ตัวว่าผิด ก็ขอให้ส่งมอบพื้นที่คืนให้กับ ส.ป.ก.ซึ่ง ส.ป.ก.จะถือว่าท่านบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี และผมจะมอบประกาศเกียรติคุณให้กับบุคคลนั้นด้วย ”น
ที่”เพชรบุรี” เข้าตรวจ-ยึด รีสอร์ท”พลังจักรวาล”อ้างฃื้อที่มาจากเจ้าของเดิม
ขณะเดียวกัน นายภูษิต หิรัญพฤกษ์ ผอ.ส่วนป้องกันและปราบปรามภาคกลาง กรมป่าไม้ พร้อมคณะตำรวจทหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบพื้นที่รีสอร์ทฮิวซา ชัมบาล่า มูลนิธิวิทยาศาสตร์ทางจิต เพื่อการพัฒนา ฮิวซา หมู่ 4 บ้านท่าเสลา ต.ยางน้ำกลัดเหนือ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ภายหลังได้รับแจ้งว่ารีสอร์ทฮิวซาบุกรุกพื้นที่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ายางน้ำกลัดเหนือและป่ายางน้ำกลัดใต้
พื้นที่ตรวจสอบของรีสอร์ทดังกล่าวตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 141 ไร่ พบมีการก่อสร้างอาคารคอนกรีต หอประชุม อาคารคอนกรีตทรงแปดเหลียม อาคารศาลา ห้องน้ำ ห้องอาหารรูปทรงเรือ อาคารคอนกรีต 2 ชั้น อาคารสระว่ายน้ำ บ้านพักชั้นเดียว 4 ห้องพัก อาคารสิบแปดเหลียม และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกกว่า 30 รายการ โดยมี น.ส.เพ็ญพร พงษ์พรรณเจริญ ประธานมูลนิธิวิทยาศาสตร์ทางจิต เพื่อการพัฒนา ฮิวซา รับเป็นเจ้าของและถือครองที่ดิน พร้อมนำเอกสารสิทธิ์ทางที่ดินเป็นสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) เลขที่ 203 เล่ม 3 ก หน้า 3 เลขที่ดิน 25 และเลขที่ 205 เล่ม 3 ก หน้า 5 เนื้อที่รวมประมาณ 43 ไร่ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผลการตรวจสอบตามค่าพิกัดตำแหน่งของที่ดินใกล้เคียงและตำแหน่งที่ดิน น.ส.3 ก ทั้งสองแปลง โดยการแปลงค่าพิกัดจากดาวเทียม พบว่า เป็นพื้นที่ไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ทางที่ดินแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังตรวจพบพื้นที่ป่าถูกก่อสร้าง แผ้วถางเผาป่า และยึดถือครอบครอง จำนวน 10 จุด จำนวน 51ไร่
น.ส.เพ็ญพร ให้การ เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นแปลงปลูกข้าวโพด มีรั่วรอบขอบชิด และมีเอกสารสิทธิ์รับรองการใช้ที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตนจึงขอซื้อพื้นที่ต่อจากเจ้าของเดิม เพื่อจะทำเป็นมูลนิธิวิทยาศาสตร์ทางจิต เพื่อเผยแพร่วิชาพลังงานจักรวาลให้แก่ผู้ที่สนใจทั่วไป ซึ่งได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเรียนวิชาเป็นจำนวนมาก ตนจึงพัฒนาพื้นที่ให้สวยงามและจัดสร้างเป็ฯรีสอร์ทเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการ โดยไม่รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ป่าแต่อย่างใดโดย น.ส.เพ็ญพร ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบข้อกล่าวหาอ้างเข้ามาทำประโยชน์ให้แก่ประเทศโดยการรักษาป่าไม่มีเจตนาบุกรุกพื้นที่ป่าแต่อย่างใด คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุม จึงได้นำตัว น.ส.เพ็ญพร พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมอบให้นายยงยศ หล่อสุพรรณพร นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พบ.2(ห้วยเกษม) แจ้งข้อกล่าวหาฐานก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครองป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 59 และมาตรา 32 จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองหญ้าปล้อง เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
ที่”กำแพงเพชร”ก็พบการรุกต้นน้ำเพียบ
ด้านนายสมหวัง เรืองนิวัติศัย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 (ตาก) เผยว่าในเขตรับผิดชอบตอบตน ที่ถูกบุกรุก มีหลายพันไร่ โดยจะเข้าตรวจยึดดำเนินคดีกลุ่มทุนจากนอกพื้นที่ ที่เข้ามายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าต้นน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ได้รับการยืนยันจากชุนชนและมีการตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่า เป็นกลุ่มทุนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำกิน หรืออยู่อาศัยในเขตป่าตามเงื่อนไขแต่อย่างใดอย่างไรก็ตามระบุว่า ทาง พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผบ.พล.ร.4/ผบ.กกล.รส.พล.ร.4 เดินทางมาอำนวยการปฎิบัติการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มทุนดังกล่าว ร่วมกับชุดปฎิบัติการของชุดพยัคฆ์ไพร ของกรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จำนวน 200 นาย เข้าตรวจสอบพื้นที่ จำนวน 4 แปลง ในท้องที่ ต.สักงาม อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร พื้นที่ประมาณ 2,400 ไร่ ตรวจพบบ้านพักตากอากาศหรูขนาดใหญ่ในแปลงเป้าหมายที่ตรวจยึดดำเนินคดี มีการตัดถนนภายในแปลงอย่างเป็นระบบ ตรวจพบมีการปักเสาพาดสายไฟเพื่อนำไปสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้าน และส่งน้ำไปตามท่อขนาดใหญ่ส่งไปทั่วบริเวณสวนนับพันไร่ทั้งนี้ ข้อมูลจากการขยายผลของ
แฉนายทุนให้ชาวบ้านสวมชื่อแทนซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีชื่อของชาวบ้านเป็นเจ้าของรายละ 50 ไร่ แต่ตรวจสอบข้อเท็จจริงชาวบ้านที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินกลับไม่รู้เรื่อง และว่าเมื่อก่อนเคยเป็นลูกจ้างของกลุ่มทุนนี้ และมีการเรียกบัตรประชาชนของชาวบ้านไป โดยอ้างว่าเพื่อไปทำเรื่องจ้างงาน แต่ไม่ทราบว่าถูกนำชื่อไปใส่สวมสิทธิ์ในเขตนิคมตั้งแต่เมื่อไร“ตอนแรกได้มีการสวนส้ม พอมีการซื้อขายเปลี่ยนมือไป ก็เปลี่ยนเป็นปลูกยางพาราจากกลุ่มทุนทางภาคใต้”ฃึ่งข้อมูลนี้ได้มีชาวบ้านแถบนั้นให้เบาะแสนี้โดยทางด้าน พล.ต.นพพร.4 ได้มีการสั่งการให้คณะเจ้าหน้าที่ดำเนินการขยายผลให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลัง และให้ดำเนินการขยายผลต่อเนื่องอีก ซึ่งคาดว่าจะมีอีกหลายพันไร่ในพื้นที่ดังกล่าว และให้ผู้รับผิดชอบพื้นที่ดำเนินการรื้อถอนตามมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติๆ เพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวกลับมาฟื้นฟู เป็นป่าต้นน้ำเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางตามแผนงาน พลิกฝืนพื้นป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปตามเป้าหมายจุดประสงค์ให้ตรงตามที่ “คสช”ใช้ ม44